มือใหม่หัดเที่ยวญี่ปุ่นต้องอ่าน! เปรียบเทียบ JR Pass แบบเหมา vs รายครั้ง – เลือกตั๋ว JR แบบไหนให้เหมาะกับแพลนเที่ยว

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัดวาอาราม คาเฟ่สุดน่ารัก หรือวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่ทำให้ใครๆ ก็อยากกลับไปอีกครั้ง และแน่นอนว่าการเดินทางด้วยรถไฟ ก็เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวที่นี่!
แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก อาจจะงงไม่น้อยว่า "เราควรซื้อ JR Pass แบบเหมารายวันดีไหม?" หรือ "ซื้อตั๋วรถไฟ JR รายครั้งแบบเฉพาะเที่ยวจะคุ้มกว่า?"
วันนี้ Gother จะช่วยไขข้อสงสัย เปรียบเทียบ JR Pass ให้แบบชัดๆ พร้อมแนะนำวิธีเลือกตั๋ว JR ให้เหมาะกับแพลนเที่ยวของคุณที่สุด!
JR Pass คืออะไร?
JR Pass หรือ Japan Rail Pass คือบัตรโดยสารสุดคุ้มที่ให้คุณนั่งรถไฟของบริษัท Japan Railways Group (JR Group) กลุ่มผู้ให้บริการรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ได้แบบ ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ภายในช่วงเวลาที่เลือก
บัตรนี้ออกแบบมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางสะดวกและคุ้มค่า สามารถใช้ขึ้นรถไฟและบริการต่างๆ ในเครือ JR ได้อย่างอิสระ ช่วยให้การเดินทางทั่วญี่ปุ่นเป็นเรื่องง่ายและประหยัดมากขึ้น!
ข้อดีของ JR Pass
● รองรับการเดินทางหลายรูปแบบ: ทั้งรถไฟชินคันเซ็นทุกขบวน (ยกเว้นขบวน NOZOMI และ MIZUHO), รถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express), รถไฟด่วน (Express), รถไฟท้องถิ่น (Local Train), เรือเฟอร์รี (JR Ferry) และรถบัส JR บางสาย
● สะดวกสบาย: ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วทุกครั้งที่เดินทาง แค่แสดงพาสให้พนักงานตรวจตั๋วดู
● ประหยัดเงิน: หากเดินทางระยะไกลหลายเที่ยวในเวลาที่จำกัด โดยเฉพาะการนั่งรถไฟชินคันเซ็น
● มีหลายประเภท: มีให้เลือกทั้งแบบใช้ได้ทั่วประเทศหรือเฉพาะบางภูมิภาค และมีระยะเวลาให้เลือกตั้งแต่ 1-3 วัน หรือ 7, 14, 21 วัน
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับ JR Pass แบบเหมาทั้งประเทศมากกว่า แต่น้อยคนจะรู้ว่ายังมีตั๋ว JR แบบอื่นๆ ที่อาจเหมาะกับทริปของคุณมากกว่า ลองมาดูตัวเลือกกัน ว่ามีแบบไหนบ้าง!
ประเภทของ JR Pass

1. JR Pass แบบทั่วประเทศ (JR Rail Pass/ JR Nationwide Pass)
นี่คือประเภท JR Pass ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด พาสประเภทนี้ใช้เดินทางได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น มีให้เลือก 3 ระยะเวลา คือ2. JR Pass แบบเฉพาะภูมิภาค (Regional JR Pass)
เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนเที่ยวเฉพาะบางภูมิภาคเท่านั้น เพราราคาถูกกว่าแบบทั่วประเทศมาก ตัวอย่างเช่น ภูมิภาคฮอกไกโด● JR Hokkaido Free Pass
● JR Sapporo-Noboribetsu Area Pass
● JR Sapporo-Furano Area Pass
ภูมิภาคคันโต
ภูมิภาคชูบุ
ภูมิภาคญี่ปุ่นตะวันตก

ภูมิภาคคันไซ
3. JR Pass แบบเฉพาะพื้นที่เมือง
พื้นที่เมืองฮาโกเน่/ อิซุ/ ภูเขาไฟฟูจิ4. ตั๋วรถไฟ JR แบบรายครั้ง (One-time Tickets)
ตั๋ว JR แบบรายเที่ยวหรือรายครั้ง คือ ตั๋วรถไฟที่ซื้อตามแต่ละเส้นทางที่ต้องการเดินทางจริงในวันนั้นๆ เหมือนกับการขึ้น BTS หรือ MRT บ้านเรา ที่จ่ายตามระยะทาง ไม่ได้ใช้แบบเหมาจ่ายทั้งวันหรือทั้งทริป ราคาจะขึ้นอยู่กับระยะทางและประเภทของรถไฟใช้บัตร JR Pass กับบริการการเดินทางอะไรได้บ้าง


บัตร JR Pass ไม่ได้ใช้แค่ขึ้นรถไฟธรรมดาเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการเดินทางหลากหลายรูปแบบในเครือของ JR ทั่วญี่ปุ่น มาดูกันว่าบัตรนี้ใช้กับอะไรได้บ้าง
รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen)
ขึ้นชินคันเซ็น ได้แบบฟินๆ! แต่ต้องเป็นขบวนต่อไปนี้เท่านั้น⚠️ หมายเหตุ: ไม่สามารถใช้กับขบวน NOZOMI และ MIZUHO ได้ เพราะเป็นขบวนเร็วพิเศษที่ไม่รวมใน JR Pass
Tokyo Monorail & Narita Express
JR Ferry
นั่งเรือเฟอร์รี่ JR จากฝั่งฮิโรชิม่าไปยังเกาะมิยาจิม่า (Miyajima Ferry) ได้ฟรี! เหมาะสำหรับคนที่อยากไปชมศาลเจ้าลอยน้ำอันโด่งดังรถบัส JR (JR Highway Buses)
ใช้ขึ้น รถบัสประจำทาง ของบริษัท JR ได้ทุกภูมิภาคที่ให้บริการ ได้แก่JR Green Car vs JR Ordinary Car - เลือกชั้นโดยสารอย่างไรให้คุ้มค่า?
JR Pass มีที่นั่งให้เลือก 2 ประเภท คือแบบ Ordinary (ชั้นธรรมดา) และ Green Car (ชั้นพรีเมียม) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งด้านราคาและบริการ มาดูกันว่าต่างกันยังไงบ้าง
ความแตกต่างระหว่าง Green Car กับ Ordinary Car
Green Car เปรียบเสมือนชั้นธุรกิจของรถไฟญี่ปุ่น มีความหรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า
● ที่นั่งสบายกว่า: เบาะกว้างกว่า ปรับเอนได้มากถึง 40 องศา และมีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง
● ความเป็นส่วนตัวสูง: จำนวนที่นั่งน้อยกว่า (เลย์เอาท์แบบ 2x2) ทำให้ไม่แออัด เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนระหว่างเดินทาง
● บริการพิเศษ: มีพนักงานคอยให้บริการ มีการเสิร์ฟผ้าเย็น และบนบางเส้นทาง (เช่น สายคิวชู) มีขนมขบเคี้ยวหรือไอศกรีมให้บริการ
● สิ่งอำนวยความสะดวก: มีวิทยุและนิตยสารให้บริการ หน้าต่างขนาดใหญ่พร้อมหน้าต่างเพดานให้ชมวิว และพื้นที่เก็บสัมภาระกว้างขวาง
Ordinary Car คือชั้นโดยสารทั่วไปที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้
● ที่นั่งแบบมาตรฐาน เลย์เอาท์ส่วนใหญ่เป็น 3x2
● ไม่มีบริการพิเศษ แต่สะอาดและสะดวกสบายตามมาตรฐานญี่ปุ่น
● มีผู้โดยสารหนาแน่นกว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้ JR Pass กับตู้โดยสารต่างๆ
● ผู้ถือ JR Pass แบบ Green Car: สามารถใช้ได้ทั้งตู้ธรรมดาและตู้ Green Car โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
● ผู้ถือ JR Pass แบบธรรมดา: สามารถใช้ได้เฉพาะตู้ธรรมดาเท่านั้น หากต้องการนั่ง Green Car จะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม
● Green Car ไม่ได้มีในทุกขบวน: มีเฉพาะในเส้นทางสำคัญๆ เช่น ชินคันเซ็นสายโทไกโด และรถไฟด่วนพิเศษบางขบวน
ข้อจำกัด: JR Pass ไม่สามารถใช้กับตู้ DX Green (พรีเมียมพิเศษ) บนรถไฟบางขบวนในคิวชูได้ และไม่สามารถใช้กับตู้ส่วนตัว (Private Compartment) ได้ หากต้องการใช้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ควรเลือกที่นั่งแบบไหน?
เลือก Green Car เมื่อ
● เดินทางในเส้นทางยอดนิยมที่มักแออัด เช่น โตเกียว-โอซาก้า
● เดินทางในช่วงไฮซีซั่น เช่น ซากุระบาน ใบไม้เปลี่ยนสี หรือช่วงโกลเด้นวีค
● ต้องการความสบาย ความพรีเมียม ระหว่างเดินทางไกล
● มีงบประมาณเพียงพอ (ราคาแพงกว่าแบบธรรมดาประมาณ 30-40%)
เลือกแบบธรรมดาเมื่อ
● เดินทางนอกช่วงไฮซีซั่น หรือเส้นทางที่ไม่แออัด
● ต้องการประหยัดงบประมาณ
● ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความหรูหราระหว่างเดินทางมากนัก
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป แบบ Ordinary จะคุ้มค่ากว่ามาก เพราะคุณสามารถประหยัดเงินไปใช้จ่ายกับกิจกรรมอื่นๆ ได้ แต่หากคุณเดินทางไกลหลายเที่ยวและชอบความสะดวกสบาย การอัพเกรดเป็น Green Car ก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากๆ
JR Pass แบบเหมา vs JR Pass รายครั้ง เลือกใช้ยังไงดี?

เลือกตามพื้นที่ท่องเที่ยว: ถ้าหากเพื่อนๆ ต้องการเที่ยวเฉพาะภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง เช่น แค่คันไซหรือแค่คิวชู ควรเลือกบัตรเฉพาะภูมิภาคนั้นจะประหยัดกว่า JR Pass แบบทั่วประเทศมาก
คำนวณความคุ้มค่า: ใช้เว็บไซต์อย่าง Hyperdia หรือ Google Maps วางแผนเส้นทางและตรวจสอบค่าโดยสารจริง เทียบกับราคาบัตรที่สนใจ ถ้าค่าเดินทางแพงกว่าราคาบัตรก็คุ้มค่า
ตรวจสอบระยะเวลาการใช้งาน: บัตรบางประเภทต้องใช้ติดต่อกัน แต่บางประเภทก็สามารถเลือกวันใช้งานได้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ควรเลือกให้เหมาะกับแผนการเดินทาง
ข้อจำกัดของผู้ใช้: บัตรท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีให้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือวีซ่า "Temporary Visitor" เท่านั้น และบางประเภทต้องซื้อก่อนเดินทางถึงญี่ปุ่น
การจองที่นั่ง: ตรวจสอบว่าบัตรของคุณสามารถจองที่นั่งล่วงหน้าได้หรือไม่ โดยเฉพาะรถไฟชินคันเซ็น ซึ่งในช่วงไฮซีซั่นอาจเต็มได้
ความถี่ในการเดินทาง: หากคุณวางแผนจะเดินทางเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ การซื้อตั๋วรายครั้งอาจคุ้มค่ากว่า แต่ถ้าเดินทางหลายครั้งต่อวัน บัตรผ่านจะคุ้มกว่ามาก
ขนส่งนอกเครือ JR: บัตร JR ส่วนใหญ่ใช้ได้เฉพาะกับรถไฟและรถบัส JR เท่านั้น ไม่รวมรถไฟใต้ดินหรือรถไฟเอกชน หากต้องใช้รถไฟเอกชนบ่อย ควรดูบัตรที่ครอบคลุมทั้งหมด เช่น Kansai Thru Pass
ไม่จำเป็นต้องใช้ JR Pass เสมอไป: ถ้าคุณเป็นสายเที่ยวในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียวหรือโอซาก้า บางครั้งการซื้อบัตรรายเที่ยวของรถไฟใต้ดินในเมืองนั้นๆ อาจคุ้มค่ากว่าการใช้ JR Pass
ไม่ว่าคุณจะเป็นสายตะลุยหลายเมืองในทริปเดียว หรือชอบเที่ยวชิล ๆ อยู่แค่เมืองเดียว การเลือกรูปแบบการเดินทางให้เหมาะกับแพลนคือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ทริปญี่ปุ่นของคุณ คุ้มค่า เดินทางง่าย และสนุกสุดๆ!
สุดท้ายแล้ว ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด เพราะทุกแผนเที่ยวไม่เหมือนกัน แค่รู้จักเลือกให้ตรงกับสไตล์ของตัวเอง เท่านี้ก็พร้อมออกเดินทางไปเก็บโมเมนต์ดีๆ ได้แบบไม่มีสะดุดแล้ว!
สำหรับใครที่พร้อมเที่ยวญี่ปุ่นกันแล้ว อย่าลืมจอง ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และบัตร JR Pass ล่วงหน้า! จองครบทุกอย่างในที่เดียว ต้องที่ Gother แพลตฟอร์มจองทริปที่เกิดมาเพื่อคนชอบเที่ยวแบบคุณ!