check-mark-iconคัดลอกลิงก์ไปที่คลิปบอร์ดแล้ว

หนีเมืองใหญ่ ไปหลงเสน่ห์! เปิดวาร์ป 5 หมู่บ้านโบราณ ญี่ปุ่น ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก

หนีเมืองใหญ่ ไปหลงเสน่ห์! เปิดวาร์ป 5 หมู่บ้านโบราณ ญี่ปุ่น ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก

travel-story-1741936906_8f1df135f4fd6ab12d5e-0

เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น หลายคนอาจนึกถึงโตเกียว โอซาก้า หรือเกียวโต แต่ญี่ปุ่นยังมีเสน่ห์อีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในหมู่บ้านโบราณเล็กๆ ที่ห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ สถานที่เหล่านี้ยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตและสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ราวกับย้อนเวลากลับไปในยุคเอโดะหรือเมจิ จนทำให้นักท่องเที่ยวต่างตกหลุมรักเสน่ห์ของความเป็นญี่ปุ่นโบราณ

วันนี้ เราจะพาทุกคนไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของ 5 หมู่บ้านโบราณในญี่ปุ่นที่คนไทยส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้จัก แต่รับรองว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณต้องไปเยือนให้ได้ เตรียมกล้องให้พร้อม เพราะความงดงามของสถานที่เหล่านี้จะทำให้คุณหลงใหลและประทับใจไม่รู้ลืม!

อิเนะ โนะ ฟุนายะ (Ine no Funaya) - หมู่บ้านชาวประมงลอยน้ำ

travel-story-1741936933_6b22fdd6744c7efc95e0-0

ความมหัศจรรย์แห่งหมู่บ้านริมทะเล

หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในอ่าวเล็กๆ ทางตอนเหนือของเกียวโต อิเนะ โนะ ฟุนายะ (Ine no Funaya) คือหมู่บ้านชาวประมงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี ชื่อ "ฟุนายะ" แปลตรงตัวว่า "บ้านเรือ" ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์อันโดดเด่นของหมู่บ้านแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะบ้านแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นติดกับน้ำทะเลโดยตรง โดยชั้นล่างเป็นที่จอดเรือและชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย

เมื่อมองจากทะเลเข้ามา จะเห็นบ้านไม้กว่า 230 หลังเรียงรายโอบล้อมอ่าวอย่างสวยงาม ราวกับภาพวาดที่มีชีวิต โดยเฉพาะในยามเย็นที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนๆ สะท้อนกับผืนน้ำและตัวบ้าน สร้างภาพบรรยากาศที่แสนโรแมนติกและเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสแห่งญี่ปุ่น"

วิถีชีวิตที่ผูกพันกับทะเล

ชาวบ้านที่อิเนะยังคงดำรงชีวิตด้วยการประมงมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน วิถีชีวิตของพวกเขาผูกพันกับทะเลอย่างแนบแน่น หากได้ไปเที่ยวกันที่ เพื่อนๆ ก็จะมีโอกาสได้เห็นชาวประมงพายเรือออกไปหาปลาในยามเช้า หรือนำปลาสดๆ กลับมาในยามบ่าย ซึ่งบางส่วนจะถูกนำไปแปรรูปเป็นอาหารทะเลแห้งตามภูมิปัญญาท้องถิ่น

จุดที่น่าสนใจคือ ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดของฟุนายะ ชั้นล่างของบ้านที่เป็นที่จอดเรือนั้นยังมีระบบระบายอากาศตามธรรมชาติที่ช่วยถนอมอาหารทะเลได้ดี ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

travel-story-1741936956_c0235d4a6ec9cebc5233-0

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนอิเนะ โนะ ฟุนายะ 
 

  • ● ล่องเรือชมวิวรอบอ่าว - กิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการล่องเรือชมวิถีชีวิตชาวประมงและบ้านฟุนายะจากมุมมองกลางทะเล ซึ่งจะทำให้คุณเห็นความงดงามของหมู่บ้านได้อย่างเต็มตา เรือจะออกทุกๆ 30 นาที ใช้เวลาล่องประมาณ 25 นาที
  • ● เดินเล่นบนถนนเลียบอ่าว - เส้นทางเดินเท้าที่ทอดยาวตามแนวอ่าวให้คุณได้สัมผัสวิถีชีวิตและบรรยากาศของหมู่บ้านอย่างใกล้ชิด ระหว่างทางมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารท้องถิ่นให้แวะชิม
  • ● ขึ้นจุดชมวิว Ine Kirarium Park - จุดชมวิวบนเนินเขาที่ให้คุณได้เห็นภาพพาโนรามาของทั้งหมู่บ้านและอ่าวอิเนะ โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกที่สวยงามเกินบรรยาย
  • ● พักโฮมสเตย์ในฟุนายะ - บางหลังคาเรือนได้ดัดแปลงเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์นอนในบ้านเรือแบบดั้งเดิม ตื่นมาพร้อมวิวทะเลงดงามตรงหน้า

อาหารท้องถิ่นที่ต้องลิ้มลอง
 
  • ● อิเนะ ดงบุริ (Ine Donburi) - ข้าวหน้าปลาหมึก ปลาดิบ และไข่ปลาสดๆ ที่ปรุงง่ายๆ แต่รสชาติเข้มข้นเต็มไปด้วยรสหวานของวัตถุดิบจากทะเล
  • ● ปลาซาบะหมักเกลือ - เมนูดั้งเดิมที่ชาวประมงมักจะเตรียมไว้กินระหว่างออกทะเล เนื้อปลาหมักเกลือจนได้ที่ ทานคู่กับข้าวร้อนๆ
  • ● อาหารทะเลย่าง - ปลา กุ้ง และหอยสดๆ นำมาย่างเกลือแบบเรียบง่าย ให้รสชาติของวัตถุดิบเป็นพระเอก

วิธีเดินทางไปอิเนะ โนะ ฟุนายะ
 
  • ● เดินทางจากเกียวโตไปยังสถานี Amanohashidate โดยรถไฟ Kyoto Tango Railway (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง)
  • ● จากสถานี Amanohashidate นั่งรถบัสไปยังหมู่บ้านอิเนะ (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที)

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเยี่ยมชมคือฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง (เมษายน-พฤศจิกายน) เนื่องจากอากาศดีและเหมาะแก่การล่องเรือชมวิว

โออุจิ-จูกุ (Ouchi-juku) - หมู่บ้านซามูไรโบราณ

travel-story-1741936957_7fc9b4b387379e18762b-0

ย้อนเวลาสู่เส้นทางซามูไรโบราณ

หมู่บ้านโบราณ ญี่ปุ่น ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาในจังหวัดฟุคุชิมะ โออุจิ-จูกุ (Ouchi-juku) คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยเป็นจุดแวะพักสำคัญบนเส้นทางการค้าอาอิซุนิชิไคโดะ (Aizu-Nishi Kaido) ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองอาอิซุ-วาคามัตสึและเมืองนิกโก้ในสมัยเอโดะ (ปี 1603-1868)

ที่นี่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีชีวิต ที่นี่ คุณจะได้สัมผัสกับบรรายากาศขของการเที่ยวเมืองเก่า ญี่ปุ่น บ้านแต่ละหลังมุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก (Kayabuki) กว่า 30 หลัง เรียงรายตลอดสองฝั่งถนนหลักของหมู่บ้าน เมื่อก้าวเข้ามาในโออุจิ-จูกุ คุณจะรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในยุคซามูไร ไม่มีสายไฟฟ้าระโยงระยาง ไม่มีป้ายโฆษณาสมัยใหม่ มีเพียงถนนดินและบ้านไม้โบราณที่ยังคงใช้ชีวิตกันแบบดั้งเดิม

travel-story-1741936962_3f8cdc83c205f18291d0-0

เสน่ห์ของบ้านหลังคาหญ้าแฝก

ความพิเศษของโออุจิ-จูกุอยู่ที่สถาปัตยกรรมบ้านหลังคาหญ้าแฝกหรือ "กายาบูกิ" (Kayabuki) ที่เป็นเอกลักษณ์ หลังคาเหล่านี้ทำจากหญ้าแฝกที่นำมาผูกมัดและวางซ้อนกันอย่างแน่นหนา มีความหนาถึง 50-60 เซนติเมตร ช่วยให้บ้านเย็นในฤดูร้อนและอบอุ่นในฤดูหนาว

สิ่งที่น่าสนใจคือ ทุกๆ 20-30 ปี ชาวบ้านจะร่วมแรงร่วมใจกันเปลี่ยนหลังคาหญ้าแฝกใหม่ (ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "ยูกิ" - Yuki) ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน และในปัจจุบันกลายเป็นงานเทศกาลประจำท้องถิ่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาชม

กิจกรรมที่น่าสนใจในโออุจิ-จูกุ
 

  • ● เดินเล่นสำรวจหมู่บ้าน - ใช้เวลาเดินชมบ้านเรือนโบราณที่ส่วนใหญ่ได้ถูกดัดแปลงเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร หรือพิพิธภัณฑ์เล็กๆ โดยยังคงรักษาโครงสร้างดั้งเดิมไว้
  • ขึ้นจุดชมวิวของหมู่บ้าน - ด้านหลังหมู่บ้านมีเส้นทางเดินขึ้นไปยังศาลเจ้า Takakura Shrine ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ให้คุณเห็นภาพรวมของหมู่บ้านและหลังคาหญ้าแฝกที่เรียงรายสวยงาม
  • ● เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น - พิพิธภัณฑ์ Ouchi-juku Kyodo Museum จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และวิถีชีวิตของผู้คนในยุคเอโดะ ให้คุณได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านอย่างลึกซึ้ง
  • ● ใส่ชุดกิโมโนเดินเล่น - มีบริการเช่าชุดกิโมโนให้นักท่องเที่ยวได้แต่งตัวย้อนยุค เพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกในบรรยากาศโบราณ

travel-story-1741936967_fce545b74145601eff5e-0

อาหารท้องถิ่นที่ต้องลิ้มลอง
 

  • ● เนกิโซบะ (Negi Soba) - เส้นโซบะร้อนเสิร์ฟพร้อมต้นหอมขนาดใหญ่ทั้งต้น ซึ่งคุณจะใช้เป็น "ตะเกียบ" ในการรับประทาน เป็นเอกลักษณ์ที่พบได้เฉพาะที่โออุจิ-จูกุเท่านั้น
  • อิโมะคาเระโมจิ (Imo-karē-mochi) - ขนมหวานทำจากมันเทศและแป้งข้าวเหนียว นำไปย่างจนหอมกรุ่น ทานคู่กับซอสมิโซะหวาน
  • โทจิ-โซบะ (Toji-soba) - เส้นโซบะเสิร์ฟในน้ำซุปร้อนๆ พร้อมกับไข่ ผักตามฤดูกาล และเนื้อสัตว์ เหมาะสำหรับวันที่อากาศหนาวเย็น

วิธีเดินทางไปโออุจิ-จูกุ 
 
  • ● เดินทางจากโตเกียวไปยังสถานี Aizu-Wakamatsu โดยรถไฟ Shinkansen และรถไฟท้องถิ่น (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง)
  • ● จากสถานี Aizu-Wakamatsu นั่งรถบัสไปยังโออุจิ-จู (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)

ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดคือฤดูหนาว เมื่อหมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน สร้างภาพที่เหมือนในนิทาน แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบอากาศหนาว มาช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็สวยงามไม่แพ้กัน ด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆ หมู่บ้าน

ย่านโรงน้ำชาฮิงาชิ ชายะ (Higashi Chaya District) - จังหวัดอิชิคาวะ

travel-story-1741936973_c338f0e18bd7cba6d938-0

ย่านที่สาวเกอิชายังคงเดินสวนกันในตรอกเล็กๆ

ตามไปเที่ยวเมืองเก่าญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในเมืองคานาซาวะ จังหวัดอิชิคาวะ ย่านฮิงาชิ ชายะ (Higashi Chaya District) คือย่านโรงน้ำชาโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในญี่ปุ่น ย่านนี้รุ่งเรืองมาตั้งแต่ปี 1820 เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของบรรดาพ่อค้าและขุนนางในยุคเอโดะ ที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและชมการแสดงของเกอิชา

"ชายะ" (Chaya) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า "โรงน้ำชา" แต่สถานที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงร้านน้ำชาธรรมดา เพราะที่นี่ถือเป็นหมู่บ้านโบราณญี่ปุ่นที่ให้บริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิงโดยเกอิชาผู้เชี่ยวชาญในศิลปะการรายรำ ดนตรี และพูดคุย 

เมื่อเดินเข้าไปในย่านฮิงาชิ ชายะ คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุค ทั้งถนนที่ปูด้วยหินและบ้านไม้สองชั้นที่มีประตูไม้ระแนงเป็นเอกลักษณ์เรียกว่า "คิโนชิตะ-โทริ" (Kinoshita-tori) ซึ่งออกแบบให้มองไม่เห็นด้านในจากภายนอก แต่คนภายในสามารถมองเห็นถนนได้ ในยามค่ำคืน เมื่อโคมไฟถูกจุดสว่าง ย่านนี้จะมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ

โรงน้ำชาที่เปิดให้เข้าชม

แม้ว่าโรงน้ำชาส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก หรือร้านกาแฟ แต่ยังมีโรงน้ำชาโบราณบางแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายใน
 

  • ● ชิมะ (Shima) - เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และห้องต่างๆ ที่ใช้รับรองแขกและการแสดงของเกอิชา คุณจะได้เห็นการจัดวางแบบดั้งเดิมและเรียนรู้วิธีการดำเนินงานของโรงน้ำชาในอดีต
  • ● คาอิคาโร (Kaikaro) - เป็นโรงน้ำชาที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในช่วงกลางวัน ภายในตกแต่งอย่างหรูหรางดงาม โดดเด่นด้วยเพดานชั้นสองที่ประดับด้วยแผ่นทองคำเปลว

travel-story-1741936979_434dac2a5413d2d6ccd7-0

กิจกรรมที่น่าสนใจในย่านฮิงาชิ ชายะ
 

  • ● ชมการแสดงเกอิชา - หากโชคดี คุณอาจได้ชมการแสดงของเกอิชาที่จัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่โรงน้ำชาคาอิคาโรในบางช่วงเวลา (ควรจองล่วงหน้า)
  • ● ทำทองคำเปลว - คานาซาวะขึ้นชื่อเรื่องการผลิตทองคำเปลว โดยผลิตถึง 99% ของทองคำเปลวทั้งหมดในญี่ปุ่น ที่ร้าน Hakuza คุณสามารถลองทำเครื่องประดับหรือของที่ระลึกด้วยทองคำเปลวด้วยตัวเองได้อีกด้วย 
  • ● จิบชาพร้อมขนมญี่ปุ่น - หลายร้านในย่านนี้เสิร์ฟชาเขียวแบบดั้งเดิมพร้อมขนมญี่ปุ่น ให้คุณได้พักเหนื่อยและดื่มด่ำกับบรรยากาศโบราณ
  • ● ชุดกิโมโนถ่ายภาพ - มีบริการเช่าชุดกิโมโนหลากหลายสไตล์ให้คุณได้สวมใส่เดินเล่นในย่านประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยวและได้ภาพถ่ายสวยๆ กลับไป

อาหารและของฝากที่ไม่ควรพลาด
 
  • ● Gold Leaf Sparkling Soft-serve Ice Cream - ไอศกรีมที่เคลือบด้วยทองคำเปลว เป็นประสบการณ์อันหรูหราที่หาได้เฉพาะที่นี่
  • วากาชิ (Wagashi) - ขนมญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ทำเป็นรูปทรงดอกไม้หรือสัญลักษณ์ตามฤดูกาล คานาซาวะมีชื่อเสียงด้านการทำวากาชิที่ประณีตสวยงาม
  • ของที่ระลึกประดับทองคำเปลว - ตั้งแต่เครื่องใช้ในบ้านไปจนถึงเครื่องสำอาง เครื่องเขียน หรือแม้แต่เหล้าสาเกที่มีทองคำเปลวลอยอยู่ในขวด เป็นของฝากสุดพิเศษที่มีเฉพาะที่คานาซาวะ

วิธีเดินทางไปย่านฮิงาชิ ชายะ
 
  • ● เดินทางจากโตเกียวไปยังสถานีคานาซาวะโดยรถไฟ Hokuriku Shinkansen (ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง)
  • ● จากสถานีคานาซาวะ นั่งรถบัสท้องถิ่นหรือเดินเท้าประมาณ 20 นาทีไปยังย่านฮิงาชิ ชายะ

คานาซาวะสวยงามตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่งดงามเป็นพิเศษคือฤดูใบไม้ผลิเมื่อดอกซากุระบาน และฤดูใบไม้ร่วงเมื่อใบไม้เปลี่ยนสี ย่านฮิงาชิ ชายะเปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยบางโรงน้ำชาและพิพิธภัณฑ์อาจมีวันหยุดประจำสัปดาห์ ควรเช็คเวลากันให้ดีก่อนเดินทาง

สึมาโกะ-จูกุ (Tsumago-juku) - เมืองโบราณบนเส้นทางนะกะเซนโด (Nakasendo)

travel-story-1741937013_7f1c3f803bb5672bf78d-0

สถานีแวะพักโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างสมบูรณ์

หมู่บ้านโบราณญี่ปุ่นที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาคิโซ (Kiso Valley) ของจังหวัดนากาโนะ สึมาโกะ-จูกุ (Tsumago-juku) คือหนึ่งในสถานีพักแรมโบราณบนเส้นทางนะกะเซนโด (Nakasendo) ซึ่งเป็นเส้นทางการค้ายุคเก่าที่เชื่อมระหว่างเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) และเกียวโต ในสมัยโบราณ เมื่อขุนนางและพ่อค้าต้องเดินทางไกล พวกเขาจะแวะพักค้างคืนตามสถานีพักแรมเหล่านี้ที่เรียกว่า "จูกุ" (Juku)

สึมาโกะ-จูกุเป็นหนึ่งในจูกุที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีที่สุดในญี่ปุ่น หลังจากที่ซบเซาไปในยุคเมจิเมื่อทางรถไฟสายใหม่ถูกสร้างขึ้น ชาวเมืองได้ร่วมมือกันฟื้นฟูและอนุรักษ์บ้านเรือนโบราณกว่า 180 ปีให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในปี 1968

ความพิเศษของสึมาโกะ-จูกุคือการอนุรักษ์บรรยากาศแบบย้อนยุคอย่างเข้มงวด ไม่มีสายไฟฟ้าให้เห็น ไม่มีเครื่องจักรสมัยใหม่ ไม่มีป้ายโฆษณาฉูดฉาด และไม่อนุญาตให้จอดรถในเขตเมืองเก่า ทำให้การเดินเล่นในสึมาโกะเหมือนกับการย้อนเวลากลับไปในอดีตจริงๆ

สถาปัตยกรรมและความงดงามของบ้านญี่ปุ่นโบราณ

บ้านเรือนในสึมาโกะสร้างด้วยไม้สนตามสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณ เรียกว่า Waki-honjin ซึ่งมีลักษณะเด่นคือหลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้ และฝาบ้านทาด้วยสีดำจากถ่านไม้ผสมน้ำมันพืช เพื่อป้องกันไฟและแมลง

อาคารที่โดดเด่นที่สุดในหมู่บ้านคือ Waki-honjin ซึ่งเคยเป็นที่พักของเหล่าเจ้านายชั้นสูงเมื่อเดินทางผ่านมา ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงข้าวของและเครื่องใช้โบราณ ให้คุณได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในยุคเอโดะ

travel-story-1741937023_31b04d4797531c47fe04-0

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสึมาโกะ-จูกุ
 

  • ● เดินเส้นทางนะกะเซนโดโบราณ - เส้นทางระหว่างสึมาโกะและหมู่บ้านมาโกะเมะอีกหนึ่งจูกุที่อยู่ใกล้เคียง เป็นเส้นทางเดินเท้าระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ที่จะพาคุณผ่านป่าไม้ ลำธาร และทุ่งนาสวยงาม ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและประวัติศาสตร์
  • ● เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วากิ-โฮนจิน - เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสึมาโกะและเส้นทางนะกะเซนโดผ่านข้าวของเครื่องใช้โบราณ เช่น อาวุธ ชุดเกราะ เสื้อผ้า และของใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ● ชมการสาธิตงานหัตถกรรมพื้นบ้าน - ในฤดูท่องเที่ยว มีการสาธิตงานหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น การทำกระดาษวาชิ (Washi) หรือการแกะสลักไม้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชม
  • ● พักโฮมสเตย์ในบ้านโบราณ - หลายบ้านในสึมาโกะได้ดัดแปลงเป็นโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม หรือ "มินชุคุ" (Minshuku) ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์พักในบ้านไม้โบราณ นอนบนฟูกพื้นเสื่อทาทามิ และอาบน้ำในบ่อน้ำร้อนออนเซ็น

อาหารท้องถิ่นที่ต้องลิ้มลอง
 
  • ● Kiso-sancho Soba - เส้นโซบะที่ทำจากแป้งบั๊ควีทผสมผงพริกป่า มีรสชาติเผ็ดเล็กน้อยและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
  • ● Iwana-ni - ปลาเทราต์ภูเขาย่างเกลือเสิร์ฟพร้อมข้าว เป็นอาหารที่นิยมในหมู่นักเดินทางมาตั้งแต่โบราณ
  • ● Hida-gyu - เนื้อวัวสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อในแถบนี้ นิยมทำเป็นสุกี้ยากี้หรือเนื้อย่าง มีความนุ่มและมีรสชาติเข้มข้น

วิธีเดินทางไปสึมาโกะ-จูกุ
 
  • ● จากโตเกียว นั่งรถไฟ JR Chuo Line ไปยังสถานี Nagiso แล้วต่อรถบัสหรือแท็กซี่ไปสึมาโกะ (ใช้เวลารวมประมาณ 3-4 ชั่วโมง)
  • ● จากนาโกย่า นั่งรถไฟ JR Shinano ไปยังสถานี Nagiso แล้วต่อรถบัสหรือแท็กซี่ (ใช้เวลารวมประมาณ 2-3 ชั่วโมง)

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเยี่ยมชมคือฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน-พฤษภาคม) เมื่อดอกซากุระบาน และฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม-พฤศจิกายน) เมื่อใบไม้เปลี่ยนสี สร้างทัศนียภาพที่งดงามให้กับหมู่บ้านโบราณแห่งนี้

กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) - หมู่บ้านน้ำพุร้อนในหุบเขาลึก จังหวัดยามากาตะ

travel-story-1741937032_8d730a4e8df92446c70c-0

สปารีสอร์ทในหุบเขาที่งดงามดุจภาพวาด

ที่เที่ยวเมืองเก่า ญี่ปุ่นแหล่งสุดท้ายที่ห้ามพลาด! กินซัน ออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นหมู่บ้านน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ชื่อ "กินซัน" แปลว่า "เหมืองเงิน" ซึ่งบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้ที่เคยเป็นแหล่งทำเหมืองเงินในยุคเอโดะ หลังจากเหมืองปิดตัวลงในปี 1950 หมู่บ้านได้ปรับเปลี่ยนมาเน้นการท่องเที่ยวน้ำพุร้อนแทน

ความงดงามของกินซัน ออนเซ็นอยู่ที่บรรยากาศย้อนยุคของโรงแรมน้ำพุร้อนหรือ "เรียวกัง" (Ryokan) สไตล์ไทโชที่สร้างด้วยไม้สูง 3-4 ชั้นเรียงรายสองฝั่งแม่น้ำ โดยมีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง โดยเฉพาะในฤดูหนาวเมื่อหิมะตกปกคลุมทั่วหมู่บ้าน และโคมไฟถนนแบบดั้งเดิมถูกจุดสว่าง สร้างภาพที่โรแมนติกราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์ จนทำให้กินซัน ออนเซ็นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากหลังจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครทีวีญี่ปุ่นชื่อดังเรื่อง "โอชิน" (Oshin)

น้ำพุร้อนและเรียวกังแบบดั้งเดิม

น้ำพุร้อนที่กินซัน ออนเซ็นมีอุณหภูมิประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น โดยมีทั้งบ่อแช่ส่วนตัวในเรียวกังและบ่อแช่สาธารณะให้เลือกใช้บริการ

เรียวกังในกินซัน ออนเซ็นส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงปลายยุคเมจิถึงยุคไทโชเอระ (ประมาณปี 1900-1930) ด้วยสถาปัตยกรรมไม้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมผสมผสานกับอิทธิพลตะวันตก ภายในตกแต่งด้วยเสื่อทาทามิ ฉากกั้นห้องกระดาษวาชิ และเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบดั้งเดิม สร้างบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย

เรียวกังที่โด่งดังที่สุดในกินซัน ออนเซ็นคือ "โนโตยะ เรียวกัง" (Notoya Ryokan) ซึ่งได้รับการบูรณะโดยสถาปนิกชื่อดัง เคนโกะ คุมะ (Kengo Kuma) ให้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมแต่เพิ่มความร่วมสมัยเข้าไป และปรากฏในสื่อระดับนานาชาติมากมาย

travel-story-1741937039_ab6bd8df8792c9e2d83d-0

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนกินซัน ออนเซ็น
 

  • ● แช่น้ำพุร้อน - ประสบการณ์แช่น้ำพุร้อนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกแช่ได้ทั้งในบ่อรวมหรือบ่อส่วนตัวในเรียวกัง
  • ● สำรวจเหมืองเงินเก่า - เหมืองเงินที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลักของหมู่บ้านได้ถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมบางส่วน คุณจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การทำเหมืองเงินในยุคเอโดะ และเห็นอุโมงค์โบราณที่คนงานเหมืองเคยใช้
  • ● เดินเล่นยามค่ำคืนริมแม่น้ำ - ในยามค่ำคืนเมื่อโคมไฟแบบดั้งเดิมถูกจุดสว่าง แม่น้ำที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านและอาคารไม้โบราณจะสร้างบรรยากาศแสนโรแมนติกที่หาได้ยากในที่อื่น
  • ● เดินป่าในเขตป่าสงวนรอบหมู่บ้าน - พื้นที่โดยรอบกินซันออนเซ็นมีเส้นทางเดินป่าที่สวยงาม ไปชมน้ำตก พรรณไม้ และทัศนียภาพของภูเขาโดยรอบ

travel-story-1741937045_eef6e2c0719eeb13cad9-0

อาหารท้องถิ่นที่ต้องลิ้มลอง
 

  • ● ยามากาตะ โซบะ (Yamagata Soba) - เส้นโซบะเหนียวนุ่มเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปเข้มข้น นิยมทานกับปลาแซลมอนย่างหรือผักดอง
  • ● อิโมะนิ (Imoni) - สตูว์ที่ทำจากเนื้อวัวและมันฝรั่งญี่ปุ่น ปรุงรสด้วยซอสมิโซะและสาเก เป็นอาหารประจำฤดูใบไม้ร่วงของภูมิภาคโทโฮคุ
  • ● ดังโกะ (Dango) - ขนมญี่ปุ่นทำจากแป้งข้าวเหนียวนึ่ง เสียบไม้และย่างให้หอม เสิร์ฟพร้อมซอสถั่วเหลืองหวาน เป็นของว่างยอดนิยมในท้องถิ่น

วิธีเดินทางไปกินซัน ออนเซ็น
 
  • ● เดินทางจากโตเกียวไปยังสถานี Oishida โดยรถไฟ Yamagata Shinkansen (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง)
  • ● จากสถานี Oishida นั่งรถบัสไปยังกินซัน ออนเซ็น (ใช้เวลาประมาณ 40 นาที)

กินซัน ออนเซ็นสวยงามในทุกฤดูกาล แต่ฤดูที่ได้รับความนิยมที่สุดคือฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) เมื่อหมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน และฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม-พฤศจิกายน) เมื่อใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มและแดงสวยงาม

หมู่บ้านโบราณในญี่ปุ่นทั้ง 5 แห่งนี้อาจไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยนิยมไปมากนัก แต่รับรองว่าถ้าได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง คุณจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของญี่ปุ่นที่งดงาม เงียบสงบ และเต็มไปด้วยเสน่ห์  และยิ่งทำให้คุณหลงรักประเทศนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะความงดงามที่แท้จริงของญี่ปุ่นไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเมืองใหญ่ แต่แฝงอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมต่างๆ ของประเทศนี้ต่างหาก!

ใครที่อยากไปสัมผัเสน่ห์เมืองเก่าในญี่ปุ่นกันแล้ว ก็เตรียมตัวแพลนทริป จอง ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก กิจกรรมน่าลอง กับ Gother กันเเลย! แอบกระซิบบอกว่า มีโปรโมชั่นส่วนลดให้ด้วยนะ เที่ยวคุ้ม เที่ยสะดวก ที่ Gother เท่านั้น! 

ผู้เขียน

logo

Gother

แหล่งรวมเรื่องราวท่องเที่ยว ที่เข้าใจทุกไลฟ์สไตล์ของคนไทย

logo

Gother

11 มี.ค. 2025

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ